ทำงานเก่งอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอให้คุณสร้างเส้นทางการเติบโตบน Career path ได้ แม้ว่าเพอฟอร์แมนซ์จากหน้าที่และความรับผิดชอบจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานยอมรับในตัวคุณ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทักษะในการเชื่อมต่อกับผู้คนก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ยิ่งในยุคที่การทำงานมีลักษณะแบบ ‘ไฮบริด’ ยิ่งเจอหน้ากันน้อยเท่าไหร่ ยิ่งต้องรู้จักให้มากขึ้นเท่านั้น รายงานจากสำนักข่าว The Wall Street Journal ระบุว่า หลังการแพร่ระบาดใหญ่จบลง หลายองค์กรยังคงไว้ซึ่งนโยบายการทำงานแบบไฮบริด คือทำงานแบบเข้าออฟฟิศสลับกับการทำงานจากที่บ้าน เมื่อเจอหน้ากันน้อยลง บทสนทนาแบบ ‘In-person’ พูดคุยแบบเห็นหน้าค่าตาก็ลดหลั่นลงไปด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของอีเวนต์จัดใหญ่-ทริปกระชับสัมพันธ์ของคนทำงาน หรือที่เรียกกันว่า ‘Outing’
จากที่เคยมีเพียงปีละ 1 ครั้ง บางองค์กรเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเป็นไตรมาสละ 1 ครั้ง หรือบางแห่งก็อาจจัดอีเวนต์ย่อยๆ เพิ่มเติมเข้าไปอีก เผลอๆ ต้องเจอกันทุกเดือนก็มีเช่นกัน ฟังดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมสนุกสนาน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะปล่อยใจจอยไปกับกิจกรรมละลายพฤติกรรมเช่นนี้ แม้ว่าจะมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อการทำงานแบบไร้รอยต่อก็ตาม
‘Kevin Belz’ อายุ 57 ปี ปัจจุบันเขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเวนเจอร์เล็กๆ ในรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ก่อนจะออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ‘Belz’ บอกว่า ตอนที่ตนทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่โจทย์การทำงานจากบอร์ดบริหาร แต่เป็นกิจกรรมปิ้งบาร์บีคิวและเล่นซอฟต์บอลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกระชับมิตร แต่ถึงจะไม่ถนัดอย่างไรเขาก็ยังเข้าร่วมกิจกรรมเพราะมองว่า การหนีหายไปไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
แม้ว่ากิจกรรมสนุกสนานในบริษัทจะไม่ได้ถูกบรรจุในฐานะ ‘ข้อบังคับ’ แต่พนักงานบางส่วนกลับรู้สึกว่า กำลังถูกบังคับให้เข้าร่วมแบบกลายๆ บางรายระบุว่า การไปงานปาร์ตี้จนเมาแอ๋ ยังดีกว่าหายตัวไปหรือเข้าร่วมกิจกรรมแบบไร้ชีวิตชีวา เพราะพฤติกรรมที่เราแสดงออก อาจขยายวงกว้างจนก่อหวอดเป็นความเสี่ยงทางอาชีพที่ร้ายแรงในอนาคตก็เป็นไปได้
The Wall Street Journal ระบุว่า มีแหล่งข่าวที่อ้างว่า ตนถูกไล่ออกจากบริษัทอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องจากปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกิจกรรมบริษัท แน่นอนว่า ท้ายที่สุดเขาเป็นฝ่ายชนะคดี แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่า 7 ปี กับการยื่นอุทธรณ์ถึง 3 ครั้ง เพื่อปกป้องสิทธิ์ที่ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่บริษัทอ้างว่า เพื่อความสนิทสนมกัน
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ตลาดแรงงานในปัจจุบัน ในทางหนึ่งก็คล้ายกับเป็นการ ‘บีบบังคับ’ ให้คนทำงานที่ไม่ต้องการมีส่วนร่วม หันมาเปิดใจ-กระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งมากขึ้น บวกกับการทำงานจากทางไกลที่ทำให้เกิดปัญหาด้านการสื่อสารตามมา หัวหน้าจึงนำกรอบคิดดังกล่าวมาปรับใช้ ให้ความสำคัญกับกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์มากขึ้นไปอีก เชื่อว่า คนทำงานที่เข้ากับคนง่าย เข้าสังคมเป็น จะช่วยให้ภาพรวมการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม กลับมีผู้บริหารที่มองต่างออกไป ‘Armon Petrossian’ เจ้าของสตาร์ทอัพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลในสหรัฐอเมริกา มีพนักงานในบริษัทประมาณ 50 คน ทุกๆ ปีเขาจะมีกิจกรรมครั้งใหญ่ 2 ครั้ง โดยเป็นการจัดสถานที่พักผ่อนให้พนักงานทุกคน เพราะเชื่อว่า ทุกคนจะทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นหลังจากรู้จักกัน
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ‘Petrossian’ ไม่บังคับให้ทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรม เขาบอกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบการรวมตัวในลักษณะนี้ บางกิจกรรมอาจสนุกสำหรับเรา แต่ในมุมของอีกฝ่ายอาจรู้สึกในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง มองว่า ไม่ควรมีการบังคับเกิดขึ้นในกิจกรรมใดๆ ก็ตาม
ด้าน ‘Marija Denhert’ อาชีพ Project Manager วัย 37 ปี บอกว่า เธอไม่มีความสนใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกระชับสัมพันธ์กับเพื่อนในออฟฟิศ ชอบระยะห่างที่เป็นอยู่แบบนี้ เพราะเชื่อว่า การทำงานอาศัยความมืออาชีพและสุภาพ มากกว่า ‘Friendly’ หรืออัธยาศัยที่ดี ทั้งยังมองว่า กิจกรรมดังกล่าวอาจทำลายขอบเขตเหล่านั้นลงได้ด้วย
ปัจจุบันบริษัทหลายแห่งใช้วิธี ‘หยั่งเสียง’ พนักงานในออฟฟิศ ถึงวาระจัดกิจกรรมกระชับมิตร โดยบางรายก็เปลี่ยนต้นทุนเหล่านั้นเป็นของขวัญในรูปแบบอื่นๆ ที่พนักงานต้องการแทน อาทิ บัตรเติมน้ำมัน เงินสด หรือของขวัญอื่นๆ เพราะการเรียนรู้ว่า คนทำงานสนใจอะไร และเป็นคนอย่างไรจะช่วยให้องค์กรเข้าใจธรรมชาติของคนทำงาน จนสามารถมองเห็นภาพกว้างในระยะยาวทั้งองคาพยพได้
อ้างอิง:
https://www.wsj.com/articles/youre-good-at-your-job-but-are-you-fun-enough-11675286566
2024-09-06T09:32:01Z dg43tfdfdgfd