"เชียงใหม่" เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งผลิตพืชผัก ผลไม้เมืองหนาวสำคัญของประเทศ แต่ใครเลยจะคิดว่า ทั้งที่ "เชียงใหม่" เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตพืชผักจังหวัดใหญ่ แต่กลับมีแหล่งผลิตพืชผักเกษตรอินทรีย์ไม่เพียงพอปากท้องคนทั้งจังหวัด
ที่สำคัญหลายคนอาจไม่รู้ว่า "เกษตรกรผู้ปลูกผักอินทรีย์" เหล่านี้ กลับแทบไม่เคยได้กินผักที่ตัวเองปลูก นั่นเพราะผักส่วนใหญ่ถูกส่งขายออกนอกจังหวัดหมด แล้วคนปลูกผักเชียงใหม่ กินผักจากที่ไหนเล่า?
"คนเชียงใหม่กินผักจากตลาดเมืองใหม่และตลาดสด ที่ส่วนใหญ่ส่งมาจาก กทม." เสียงบอกเล่าของ ศ.ดร.พวงรัตน์ แก้วล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะผู้จัดการโครงการ Chiang Mai Greentopia เป็นผู้ให้คำตอบ
เธอเปิดเผยต่อว่า นี่ยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนเชียงใหม่ รวมถึงเกษตรกรปลูกผักเหล่านี้ต้องเผชิญปัญหาสุขภาพจากการมีสารเคมีตกค้างในร่างกายกันไม่น้อย เพราะพิษภัยจากสารเคมีการเกษตรที่ใช้ฉีดพ่นพืชผักหลายชนิดสามารถซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ทั้งจากสัมผัส รับประทาน และสูดดม หากได้รับพิษแบบเฉียบพลันจะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ท้องร่วง หายใจติดขัด ตาพร่า ซึ่งอาการจะเกิดเร็วหรือมาก ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่ได้รับ
หากในระยะหลัง คนเชียงใหม่เริ่มมีความตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของตัวเอง ซึ่งนำมาสู่โจทย์คิดร่วมกันที่ว่า "ทำอย่างไรให้คนปลูกผักส่งคนเมืองมีโอกาสบริโภคผักที่ปลอดภัย" และ "ทำอย่างไรให้ชาวเกษตรเชียงใหม่หันมาปลูกอินทรีมากขึ้น?"
จากความคิดดังกล่าวได้นำมาสู่โครงการสานฝัน ที่จะทำให้คนเชียงใหม่ได้กินผักปลอดภัยเกิดขึ้นจริง เพราะนี่คือปฏิบัติการเปลี่ยนพืชเชิงเดี่ยว ทวงคืนระบบนิเวศ เกษตรไร้สารเคมีตกค้าง กับโครงการที่ชื่อว่า "เชียงใหม่กรีนโทเปีย" Chiang Mai Greentopia หรือนิยามได้ว่า "ห้องปฏิบัติการแปลงทดลองอาหารปลอดภัยเพื่อคนเชียงใหม่"
ศ.ดร.พวงรัตน์ เล่าถึงที่มาว่า โครงการ Chiang Mai Greentopia ได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. โครงการดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 ตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายด้านอาหารเพื่อสุขภาวะของ สสส. 4 ด้าน ได้แก่
"พอเริ่มลงมือจริง เรากลับพบว่า อ้าว! แล้วจะเริ่มปลูกยังไง จะเอาความรู้ที่ไหน เพราะที่ผ่านมา เกษตรกรอินทรีย์นั้นแยกอยู่กระจัดกระจายกัน ไม่ได้ค่อยมีการรวมกลุ่มกัน แล้วถ้าจะให้เขาไม่ใช้สารเคมีเลยต้องทำไง หากต้องทำวิถีอินทรีย์ สร้างนิเวศเกษตรอินทรีย์ คิดว่าต้องสร้างแหล่งเรียนรู้ปลูกผักอินทรีย์ขึ้น"
ถึงการขับเคลื่อนงานนั้นไม่ง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากถูกขับเคลื่อนด้วยพลังความร่วมแรงร่วมใจ
"กรีนโทเปีย" เริ่มจากการคัดเลือกพื้นที่ศึกษาในส่วนของชุมชนเกษตรกร ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานท้องถิ่นใน การส่งเสริมการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ มีพื้นที่ศึกษาได้แก่ พื้นที่ชุมชนเกษตรกรตําบลบ้านแม อําเภอ สันป่าตอง โดยพื้นที่นี้ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากเทศบาลตําบลบ้านแม มีการกําหนดให้การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เป็นภารกิจหลัก และมีตลาดกิ่วแลน้อยเป็นสถานที่รวมผักจากเกษตรกรที่ มีการปลูกในท้องถิ่นเป็นแหล่งขายผลผลิตทางการเกษตร
นอกจากมีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักอินทรีย์ให้ความร่วมมือกว่า 70 แห่ง โครงการยังได้รับการบริจาคที่ดินจากผู้สนับสนุน 4 ราย นำมาเนรมิตพื้นที่ 17 ไร่ให้กลายเป็นแปลงผัก และห้องแลปกลางแจ้ง ที่มีการเรียนรู้ ทดลองและแลกเปลี่ยนแบบครบวงจร ในพื้นที่ "สวนผักฮักร้องขุ้ม" ในอำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
ในพื้นที่สวนผักฮักร้องขุ้ม ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการส่งเสริมความรู้ให้กับ โครงการเชียงใหม่ Greentopia มีการตั้งพื้นที่ห้องปฏิบัติการที่เรียกว่าร้องขุ้มฟาร์มแล็บเพื่อใช้ในการส่งเสริมการให้ความรู้กับเกษตรกร ร้านอาหารและผู้บริโภค โดยมีการทดสอบสารเคมีในพืชผักให้กับเกษตรกร การส่งเสริมให้ใช้ เทคโนโลยีในการช่วยลดสารเคมีในน้ำ ในดิน และการส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศเกษตร ซึ่งจะทําให้เกิดการ แก้ปัญหาสารเคมีตกค้างในพื้นที่การเกษตร ลดการเผา ลดการปลดปล่อย PM2.5 และนําไปสู่การสร้างความ มั่นคงทางอาหารให้กับร้านอาหารแหล่งจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตรและผู้บริโภคคนเชียงใหม่ได้
"ร้องขุ้มฟาร์มแล็บ" ยังเป็นศูนย์เรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและชุมชนได้เข้ามาศึกษาและทดลองใช้นวัตกรรม เพื่อปรับปรุงวิธีการเพาะปลูก นอกจากนี้ยังส่งเสริมแนวคิดเกษตรปลอดภัยและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ผลจากการดำเนินงานประมาณปีกว่าเกิดโนว์ฮาวของชาววิถีผักปลอดภัย ซึ่งได้ผลิดอกออกผลมากมาย กลายเป็นองค์ความรู้ในสวนผักฮักร้องขุ้ม เพราะที่นี่ แม้แต่นาข้าวแต่ละแปลง ดินก็ไม่เหมือนกัน
หลังรู้แล้วว่าปลูกผักดี ปลูกผักสวย ควรปลูกยังไง ความรู้ดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปให้ชุมชนรอบ ๆ และแพร่หลายไปยังเกษตรกรสมาชิกเครือข่ายทั่วเชียงใหม่ ที่นับวันจะขยายเครือข่ายกว้างขวางขึ้น
ไม่เพียงการให้ความรู้เรื่องการปลูกพืช โครงการยังมองเรื่องความยั่งยืน จึงพยายามสร้าง Ecosystem วิถีเกษตรอินทรีแบบครบวงจร โดยยังส่งเสริมให้เกษตรการปรับแนวคิดในเรื่องการเกษตรมุมมองใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำเรื่องการวางแผนการปลูก การต่อยอดและหาตลาดผู้ซื้อมารองรับ
นอกจากการเลือกปลูก/บริโภคผักพื้นบ้านอินทรีย์ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและปราศจากสารเคมีการเกษตรเป็นวิธีช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการของกลุ่มโรค NCDs อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
พญ.วิมาลา วิวัฒน์มงคล แพทย์ประจำศูนย์การแพทย์ศรีพัฒน์ มช. กล่าวว่า สารเคมีการเกษตรที่ใช้ฉีดพ่นพืชผักหลายชนิดสามารถซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ทั้งจากสัมผัส รับประทาน และสูดดม หากได้รับพิษแบบเฉียบพลันจะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ท้องร่วง หายใจติดขัด ตาพร่า ซึ่งอาการจะเกิดเร็วหรือมาก ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่ได้รับ หากมีอาการต้องเร่งพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโดยทันที หรือหากสะสมสารพิษระยะยาวจะส่งผลอาจทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพ ขาดความยืดหยุ่น ความดันโลหิตผิดปกติ เสี่ยงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็น 1 ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) สาเหตุของการเสียชีวิตสูงสุดของโลก
"ทั้งตำลึง มะระขี้นก ใบย่านาง กระเจี๊ยบเขียว ฟักทอง ชะพลู มีสารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ แร่ธาตุ ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลและความดันโลหิต มีใยอาหารสูง ช่วยลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัย รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลระดับครัวเรือนและระดับประเทศ" แพทย์ประจำศูนย์การแพทย์ศรีพัฒน์ มช. กล่าว
จากผลสุ่มตรวจเลือดของชาวเชียงใหม่ 400 คน ล่าสุดเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2567 พบสารเคมีตกค้างในเลือดหลังการขับเคลื่อนโครงการนี้ลดลง นั่นคือเหลือ 66% จากเดิม 90% ในปี 2565 และพบสารเคมีตกค้างในเลือดอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเพิ่มเป็น 34% จากเดิม 10% ในปี 2565 ส่งผลให้การจัดอับดับจังหวัดที่ประชากรมีสารเคมีตกค้างในเลือดของ จ.เชียงใหม่ ลดลงมาอยู่อับดับ 4 จากเดิมสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
ล่าสุดโครงการยังได้ตั้งเป้าขยายผล โดยเพิ่มระดับปลอดภัยของสารเคมีตกค้างในเลือดให้อยู่ที่ 50% ภายในปี 2568 พร้อมเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้ข้อมูลชุมชนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากมลพิษและประโยชน์ของการเกษตรอินทรีย์ และขยายผลสร้างพลเมืองอาหารและพื้นที่กระจายผลผลิตที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคในพื้นที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
2025-02-04T02:02:20Z